สร้างบ้านต้องมีค่าออกแบบ

หลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเจริญรุดหน้าไปมากทีเดียวไม่ว่าจะมีรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน มีสนามบินที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆของโลก เราพยายามทำตัวให้เจริญตามชาติอื่นๆ จนหลายครั้งลืมมองว่ารากฐานเราแน่นพอที่จะก้าวไปจริงหรือไม่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นบทเรียนได้อย่างดี ถึงการทำตัวเป็นอึ่งอ่างที่พองตัวตามแม่วัวเพื่ออวดให้ลูกอึ่งอ่างดู ดูเหมือนที่พรรณามาดูจะนอกเรื่องไปนิด แต่ผมพยายามจะบอกแฟนๆว่าการจะทำอะไรสักอย่าง อย่าลืมหาความรู้ที่ถูกต้อง มีเหตุมีผล(ไม่ใช่ฟังต่อๆกันมา)ใส่ตัวให้มากที่สุด คิดง่ายๆนะครับว่าทำไมคนเราถึงถูกบังคับให้เรียนนั่นเรียนนี่ กว่าจะจบมาทำงานได้ก็อายุเลยวัยเด็กเสียแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าการเรียนมีความสำคัญมากในการทำงานนั่นเอง ความรู้ที่นำมาให้เรียนล้วนเกิดการผ่านกระบวนการลองผิดลองถูกมาจนเกิดความรู้จริงแล้วจึงนำมาสอนคนรุ่นหลัง แน่นอนว่าบางอย่างอาจไม่ถูกก็เป็นหน้าที่ของคนรุ่นต่อมาต้องศึกษาของเดิมและปรับปรุงของใหม่ให้ถูกต้องมากยิ่งๆขึ้นไป
คนส่วนหนึ่ง(มากมายทีเดียว)ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของกระบวนการคิด การวางแผน มักมองที่ผลลัพธ์ ตัวอย่างหนึ่งที่พบมากในบ้านเมืองเรา คือค่านิยมในการยกย่องคนหน้าตาดี ผิวขาว รวยๆ มีรถขับ บ้านโตๆ โดยไม่สนใจว่าที่มาว่าเป็นอย่างไร ฉ้อโกงมาหรือไม่ ชั่วหรือดีหรือไม่... มันน่าแปลกใจไม่น้อย จะสังเกตว่าบนข่าวหน้าแรกในหนังสือพิมพ์ ข่าวดาราเปลือยอก กลับดังกว่าข่าวการได้รับเกียรตินิยมของเด็กมหาวิทยาลัย เผลอๆข่าวการศึกษาอยู่หน้ากลางๆด้วยซ้ำ (ไม่เชื่อไปซื้อมาอ่านเลยครับ) บ้านเมืองเราก็เลยอ่อนแอเปรียบเหมือนเด็กน้อยที่พ่อแม่รวยกำลังถูกผู้ใหญ่ฉลาด(ชาติมหาอำนาจ)หลอกให้ทำโน่นทำนี่ตาม เพราะกลัวที่จะต้องถูกมองว่าเชย ไม่ทันสมัย
เช่นเดียวกันกับการสร้างบ้านหลังหนึ่งต้องผ่านกระบวนคิดเพื่อให้ออกมาเป็นแบบก่อสร้างจนกระทั่งก่อสร้างเสร็จสิ้น แต่คนส่วนใหญ่มักมองว่าแบบก่อสร้างเป็นเพียงกระดาษไม่กี่แผ่น ต้องจ่ายค่ากระดาษแพงทำไม โดยลืมคิดไปว่ากระดาษไม่กี่แผ่นนี่แหละจะช่วยให้บ้านท่านเสร็จเรียบร้อย รวดเร็ว ประณีตสวยงาม ได้ประโยชน์เต็มที่ มีความปลอดภัยและประหยัดค่าก่อสร้าง ยกตัวอย่างง่ายๆว่าแบบก่อสร้างนั้นสำคัญเพียงใด เรื่องมีอยู่ว่า......... มีคนอยู่ 2 คน คิดจะแข่งกันทำตู้ไม้ โดยให้ไม้10 ชิ้นเท่ากัน คนแรกรีบนำไม้มาตัดเพราะกลัวเสร็จช้าโดยไม่สนใจว่าไม้จะมีเศษเหลือหรือไม้ไม่พอหรือไม่ ต่างจากอีกคน นำไม้มาหาขนาด วัดความยาว หยิบกระดาษมาร่างแบบ คิดว่าไม้ชิ้นไหนควรวางตรงไหน ตัดตรงไหน ส่วนเหลือนี้จะเอาไปไว้ตรงไหน และเสียเวลาคิด 2 วัน ถามว่า ถ้ามีไม้จำกัดท่านคิดว่าสองคนนี้ใครเสร็จก่อนและได้ตู้ที่สวยงาม ปลอดภัยกว่า????
การก่อสร้างบ้านที่ถุกต้องจำเป็นต้องมีแบบก่อสร้างครับ แต่ถ้าไม่มีแบบหรือแบบไม่ดีเราจะก่อสร้างไปแก้ไขไปย่อมทำได้ แต่ท่านต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อทุบ ทำใหม่ และเสียอารมณ์ความรู้สึก หลายท่านมักเชื่อผู้รับเหมาที่บอกว่า "ผมไม่คิดค่าแบบหรอกทำให้ฟรี" ถามกลับไปว่าเขาก่อสร้างบ้านโดยไม่มีแบบหรือไม่ ก็คงไม่ใช่ใช่ไหมครับ แล้วในแบบก็ต้องมีลายเซ็นต์สถาปนิก วิศวกร แสดงว่าเขาก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเพื่อให้สถาปนิก วิศวกรหรือคนเขียนแบบใช่ไหมครับ แล้วเขาเอาเงินจากไหน ก็เอาค่าออกแบบบวกไว้กับค่าก่อสร้างยังไงครับ ถามท่านเจ้าของบ้านว่าแบบที่ผู้รับเหมาเขาออกแบบให้โดยที่เราไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขจะตรงใจท่านไหม แล้วความจริงที่ปรากฏก็คือผู้รับเหมาจะไปดูแบบตามหนังสือแล้วนำไปให้เด็กเขียนแบบ(อาจผิดลิขสิทธิ์ได้นะครับ!!!!!!)จากนั้นก็ไปจ้างสถาปนิกเซ็นต์ โดยที่สถาปนิกคนนั้นไม่ได้ออกแบบเองและไม่ได้ถามความต้องการเจ้าของเลย จากนั้นก็ไปบีบวิศวกรเด็กคุมงานของตัวเอง ออกแบบโครงสร้างให้ถูกๆ ก็เลยได้ราคาก่อสร้างที่บวกค่าออกแบบห่วยๆ สมมติว่าหลังนี้ใช้ประมาณ 2,060,000 บาท กับอีกกรณีหนึ่งถ้าท่านจ้างออกแบบต่างหาก ท่านมีส่วนร่วมในการคิด วางแผน จนแน่ใจว่า เมื่อก่อสร้างจริงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก เสียค่าจ้างออกแบบ 60,000 และราคาสร้างบ้าน 2,000,000 บาท ครับดูเหมือนไม่ต่างกัน ราคารวมก็เท่าๆกัน แต่ท่านคิดดีๆนะครับว่าถ้าเลือกแบบแรกเมื่อถึงตอนก่อสร้างจริงๆ ท่านอาจจะไม่ถูกใจส่วนนั้นส่วนนี้ต้องรื้อทุบทำใหม่ เปลี่ยนแปลงโน่นี่ เสียเวลา เสียเงิน บานปลายไหมครับ ก่อให้เกิดงานเพิ่มงานลดตามมามากมาย ปวดหัวมากๆครับ ถ้าเลือกแบบหลังท่านอาจเสียเวลาออกแบบและเถียงกัน แก้ไขในกระดาษจนพอใจก่อนจึงสร้าง แต่ตอนก่อสร้างจะไม่ต้องมาปวดหัวแล้วครับ
มาปฏิวัติวงการก่อสร้างให้ถูกต้อง มีระบบ มีมาตรฐาน กันเถอะครับ ให้เหมือนประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกัน